เมืองอัจฉริยะชายแดนใต้ พร้อมรองรับฐานวิถีชีวิตใหม่
ศปป.๕ กอ.รมน.
จากสถานการณ์การระบาดของโรคอุบัติใหม่ (COVID-19) ได้สร้างให้เกิดปรากฏการณ์ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนที่ถูกเรียกว่า ฐานชีวิตใหม่ (new normal) ทำให้โครงสร้างพื้นฐานที่ีรองรับรูปแบบการใช้ชีวิตต่าง ๆ ต้องได้รับการปรับเปลี่ยนให้เอื้อต่อความสะดวก และคล่องตัว ในทุกองคาพยพ การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเดิมได้มีแผนดำเนินการพัฒนาเมืองให้ตอบโจทย์ด้านการค้า การลงทุน และอื่น ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากร แต่จากสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และอาจเป็นการเปลี่ยนอย่างถาวร การพัฒนาต่าง ๆ ที่ได้กำหนดไว้จึงต้องถูกปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องรองรับกัน เพื่อความกระจ่างชัดในนโยบายด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ศปป.5 กอ. รมน. ได้รับความกรุณาจาก สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล โดย คุณปกรณ์ ปรีชาวุฒิเดช ผู้จัดการสาขาภาคใต้ตอนล่าง ได้อธิบายแนวทางการดำเนินงานเพื่อพัฒนาเมืองอัจฉริยะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรองรับรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ ดังนี้
คณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ ได้มีการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 ที่มี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ครั้งที่ 1/2563 โดยมี นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า พร้อมทีมงานจากฝ่ายส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ ดีป้า รวมถึงผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เข้าร่วมประชุมเพื่อเร่งรัด ผลักดันการพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศตามแนวทางขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมทั้งรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานรายพื้นที่ ระหว่างปี 2561-2562 ประกอบด้วย การประกาศเขตส่งเสริมเมืองอัจฉริยะทั้ง 27 เขตทั่วประเทศ รวมถึงเมืองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 เมือง และการสานต่อเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน ประจำปี 2563 (ASEAN Smart Cities Network: ASCN2020)
ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Promotion Agency : depa) ได้รับการจดจำในชื่อ “ดีป้า” มีการร่วมทำงานร่วมกับจังหวัด และท้องถิ่นเพื่อจัดทำแผนพัฒนาเสนอเข้ารับประกาศเป็นเมืองอัจฉริยะ โดยมีจังหวัดปัตตานี เทศบาลนครยะลา จังหวัดสตูล และเทศบาลนครหาดใหญ่ เป็น 4 ใน 27 เมืองที่เสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะ เมื่อปลายปี 2562 และกำลังปรับปรุงแผนพัฒนาใหม่หลังจากทิศทางการพัฒนาเมืองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันกับการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ (New Normal) โดยเฉพาะเมื่อมีปรากฏการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หลายเมืองทั่วโลกเลือกใช้นวัตกรรมดิจิทัลเพื่อแก้ไขปัญหานี้ และไทยก็เลือกใช้แอปพลิเคชัน "ไทยชนะ" ช่วยควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เพื่อให้การผ่อนปรนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งจะมีแอปพลิเคชันที่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัล อาทิเช่น การเปิดร้านค้าหรือร้านให้บริการลูกค้า, การทำงานในสถานประกอบการ, การสั่งอาหารให้ส่งถึงบ้านทางออนไลน์ การคมนาคมขนส่ง และค้าขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น จนทำให้ความสนใจ และปรับตัวต่อการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลที่ช่วงให้มีระยะห่าง (Physical distancing) ในการใช้ชีวิตมากขึ้น เพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของเชื้อโรค
การใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ นี้ จะได้ผลดีต้องมีการผนวกการรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) กับระบบวิเคราะห์ข้อมูลของเมืองด้วยการเชื่อมต่อ และสื่อสารผ่านการเชื่อมต่อบนอินเตอร์เน็ตซึ่งปัจจุบันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่กระจายไปทั่วประเทศลงไปถึงระดับหมู่บ้านมากขึ้น จนทำให้ประชาชนทุกครัวเรือน ต้องมีการติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์มือถือที่เป็นสมาร์ทโฟน ทำให้มีการสื่อสารและรับรู้ช่าวสารมากกว่าทางช่องทางเดิมเช่น วิทยุ โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ (Social media) จนเกิดการส่งต่อจากข้อมูลของคนสู่คน คนสู่อุปกรณ์อัจฉริยะ เช่น เครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ จากอุปกรณ์สู่อุปกรณ์ เช่น นาฬิกาที่นับก้าวเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ และจากอุปกรณ์เซ็นเชอร์อิเล็กทรอนิกส์ประเภท Internet of Things (IoT) หรือ การที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ สามารถเชื่อมโยงหรือส่งข้อมูลดิจิทัลถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องป้อนข้อมูล เช่น กล้องวงจรปิดที่เห็นภาพ และวัดอุณหภูมิของคนที่เดินผ่าน แล้วส่งสัญญาณแจ้ง ไปเตือนเจ้าหน้าที่ และอุปกรณ์อื่น เมื่อพบว่ามีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ มีการวางโครงข่ายเชื่อมโยงจนถึงระดับเมือง ดังเห็นตัวอย่างได้จากการใช้งานของโรงพยาบาล และการผ่านจุดคัดกรองในเขตเมือง เสมือนเป็นภาพของเมืองอัจฉริยะที่มีการรวบรวมข้อมูลเพื่อป้องกันหรือลดการระบาดได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ทุกคนกำลังสื่อสารกันบนสื่อสังคมออนไลน์ หากเรามีการวางแผนการส่งข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ซ้ำซ้อน และรวดเร็ว จะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองได้อย่างรวดเร็ว เช่น การถ่ายภาพท่อน้ำประปาแตกพร้อมกับพิกัดบนแผนที่ส่งไปยังผู้บริหารเทศบาล สั่งการให้ไปแก้ไขได้ทันที การลดจำนวนเที่ยวของรถเก็บขยะ การสามารถดูเวลามาของรถขนส่งสาธารณะ เป็นต้น นอกเหนือจากภาครัฐเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยการใช้บัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ดึงข้อมูลของประชาชนที่ไปติดต่อแทนการ ายเอกสารบัตร เพื่อลดปริมาณ ขยะหรือการอ่านข้อมูลผิดพลาด รัฐบาลเองมีแนวคิดเรื่องการเผยแพร่ข้อมูลเปิดภาครัฐ (Open data) ให้ไปเชื่อมต่อแพลตฟอร์มข้อมูลของเมือง (City Data Platform) ให้คนที่ไป ใช้ชีวิตในเมืองนั้น ๆ สามารถใช้ชีวิต ได้อย่างสะดวกสบาย ดังที่คณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองอัจฉริยะได้ให้นิยามว่า เมืองอัจฉริยะ (Smart City) หมายความว่า เมืองที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยและชาญฉลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการและการบริหารจัดการเมือง ลดค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากรของเมืองและประชากรเป้าหมาย โดยเน้นการออกแบบที่ดี และการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและภาคประชาชนในการพัฒนาเมือง ภายใต้แนวคิดการพัฒนา เมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข อย่างยั่งยืน
ตลอดปีที่ผ่านมา ได้มีโอกาสรับเชิญให้เข้าไปร่วมแลกเปลี่ยน และรับฟังเสียงสะท้อน เกี่ยวกับอนาคตในโลกดิจิทัลที่มีผลต่อเศรษฐกิจ และสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะการพัฒนา “เมืองอัจฉริยะ” (Smart City) ให้เป็นกลไกกระจายความเจริญ และลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาร่วมกันแก้ไขปัญหา และพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นได้จากเครือข่ายคนรุ่นใหม่ตั้งแต่เยาวชนจนถึงคนในวัยทำงาน รวมตัวกันเป็นกลุ่มเครือข่ายภาคเอกชน และประชาสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และสังคม เช่น การจุดประกายการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม (Open Innovation Business), สมาคมดิจิทัลเพื่อสันติภาพ (Digital4Peace) กลุ่มนักพัฒนาโปรแกรมและข้อมูล (IT4SC) เป็นต้น นอกเหนือจากภาครัฐที่มีการทำงานอยู่แล้ว เกิดผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ ๆ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น การช่วยกันประสานการลงทะเบียน และความช่วยเหลือของคนไทยที่ไปทำงานในมาเลเซีย และต่างประเทศกลับมาบ้านในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้พลังของข้อมูลดิจิทัลส่งถึงกันได้อย่างรวดเร็ว และกว้างขวางบนอินเตอร์เน็ต จนสามารถกลับมาสู่มาตุภูมิได้อย่างปลอดภัย ซึ่งรัฐบาลเห็นประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัลในการรองรับการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ (New normal) ซึ่งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สาขาภาคใต้ตอนล่าง ได้นำนโยบาย ไปดำเนินการให้เกิดผลตามความมุ่งหมายให้ประเทศ มีความก้าวหน้าและเจริญทัดเทียมพร้อม ๆ กับเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน (ASCN) เช่นเดียวกับหลายเมืองทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย และเพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่อย่างแท้จริงร่วมกันต่อไป
การพัฒนาเมืองอัจฉริยะตามนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในแต่ละเมืองย่อมมีความแตกต่างกันไปตามบริบทของรูปแบบวิถีชีวิตของคนในเมืองนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ รวมทั้งวัฒนธรรม ความเชื่อ แม้แต่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เอง ไม่ว่าจะเป็น ยะลา นราธิวาส และปัตตานี ก็ยังมีรูปแบบ และรายละเอียดที่มีความแตกต่างกัน การทำให้โครงสร้างพื้นฐานทางสังคมเป็นสังคมเมืองอัจฉริยะจึงเป็นเรื่องท้าทายของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ ในโอกาสหน้าจะได้นำเสนอเรื่องแนวคิด และการพัฒนาของเมืองต่าง ๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เข้าใจง่าย ๆ เพื่อการปรับตัว และสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งว่า การที่รัฐบาลได้นำร่องเรื่องเมืองอัจฉริยะมาก่อนหน้าที่จะมีการระบาดของโรคอุบัติใหม่มาตั้งแต่ ๒ ปีที่แล้ว จะตอบโจทย์ได้ทันเวลาพอดี ในขณะที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลกำลังต้องการการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ให้กับกำลังพลของภาครัฐไปพร้อมๆ กับการส่งเสริมและสนับสนุนภาคเอกชนให้การเปลี่ยนองค์กรเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation)
สนับสนุนบทความโดย นายปกรณ์ ปรีชาวุฒิเดช
ผู้จัดการสาขาภาคใต้ตอนล่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล