สมาร์ทซิตี้ไทยจากวิสัยทัศน์สู่ความเป็นจริง
โดย ดร.กฤษฎา แก้ววัดปริง
ที่ปรึกษาสำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ
จากประสบการณ์การทำงานด้านที่ปรึกษาสมาร์ทซิตี้ทั้งในและต่างประเทศกว่า 15 ปี ผมมองว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
ความท้าทายที่แท้จริงของสมาร์ทซิตี้ไทยไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและการทำงาน เราต้องเลิกมองว่าสมาร์ทซิตี้คือแค่การติดตั้งกล้อง CCTV หรือ sensors ทั่วเมือง แต่ต้องมองให้ลึกถึงการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ยั่งยืน
ผมขอแบ่งปันมุมมองสำคัญ 3 ประการ
1. Integration คือกุญแจสำคัญ
เราต้องเลิกพัฒนาแบบแยกส่วน แต่ต้องบูรณาการทุกระบบเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ระบบขนส่ง พลังงาน สิ่งแวดล้อม และการบริการประชาชน ที่ผ่านมาหลายโครงการล้มเหลวเพราะต่างคนต่างทำ ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลและการทำงานร่วมกัน
2. Human-Centric Development
เทคโนโลยีต้องตอบโจทย์คนในพื้นที่จริงๆ ไม่ใช่แค่ติดตั้งเพราะทันสมัย เราต้องเข้าใจบริบทและความต้องการของแต่ละเมือง วิถีชีวิตผู้คน และออกแบบโซลูชั่นที่เหมาะสม ไม่ใช่ copy-paste จากต่างประเทศ
3. Sustainable Digital Ecosystem
การพัฒนาต้องคำนึงถึงความยั่งยืน ทั้งด้านงบประมาณ บุคลากร และสิ่งแวดล้อม หลายเมืองทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาค่าบำรุงรักษาระบบที่สูงเกินไป เราต้องวางแผนระยะยาวตั้งแต่เริ่มต้น
สิ่งที่น่ายินดีคือ ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในหลายพื้นที่ของไทย
– การพัฒนา City Data Platform ที่เปิดให้ทุกภาคส่วนใช้ประโยชน์
– การใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์และแก้ปัญหาเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
– ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชนที่เข้มแข็งขึ้น
แต่เรายังมีงานต้องทำอีกมาก โดยเฉพาะ
1. การพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลอย่างเร่งด่วน
2. การสร้างมาตรฐานข้อมูลและการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน
3. การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบให้เอื้อต่อนวัตกรรม
ผมเชื่อว่าภายใน 5 ปีนี้ เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสมาร์ทซิตี้ไทย แต่การเปลี่ยนแปลงจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องก้าวข้ามการพูดถึง “วิสัยทัศน์” ไปสู่การ “ลงมือทำ” อย่างจริงจัง เพื่อสร้างเมืองอัจฉริยะที่ตอบโจทย์คนไทยอย่างแท้จริง
#SmartCityThailand #DigitalTransformation #SmartCity #Innovation #Thailand40