เหตุการณ์ Amazon ล่มทั่วโลก เผยให้เห็น 'จุดตาย' ที่ชาวอเมริกันพึ่งพามันมากเกินไป

 

แค่วันเดียวที่ Amazon Web Services (AWS) ล่ม ก็ทำให้ชาวอเมริกันตระหนักได้แล้วครับว่า อินเทอร์เน็ตทั้งระบบมันผูกติดอยู่กับบริษัทเดียวมากแค่ไหน

เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่คนสั่งกาแฟ Starbucks ผ่านมือถือไม่ได้ หรือถามอากาศจาก Alexa ไม่ได้นะครับ แต่มันลามไปถึงโรงพยาบาลที่ระบบสื่อสารสำคัญหยุดทำงาน คุณครูก็เข้าถึงแผนการสอนที่เตรียมไว้ไม่ได้ แม้แต่ Chime ที่เป็นบริการธนาคารบนมือถือก็ล่มไปด้วย ทำเอาคนเข้าถึงเงินของตัวเองไม่ได้ กล้องวงจรปิดอย่าง Ring และ Blink รวมถึงอุปกรณ์สมาร์ทโฮมส่วนใหญ่ก็พากันนิ่งสนิท

ต้องเข้าใจก่อนครับว่า AWS คือหนึ่งในกลุ่ม 'ยักษ์ใหญ่' ด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ไม่กี่เจ้า ที่เป็นเหมือนกระดูกสันหลังของอินเทอร์เน็ตในยุคนี้เลย พวกเขาให้บริการเครื่องมือเบื้องหลัง (Backend) ที่จำเป็นต่อการทำงานของธุรกิจต่างๆ ตั้งแต่การเก็บข้อมูล (Storage) ไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์เสมือน (Virtual Servers) ที่บริษัทต่างๆ ใช้พัฒนาแอปโดยไม่ต้องลงทุนซื้อฮาร์ดแวร์เอง

แม้จะมีเจ้าอื่น แต่ก็เทียบสเกลกับ 3 บิ๊กอย่าง Amazon, Microsoft และ Google ไม่ได้ครับ ทั้งสามเจ้านี้กินส่วนแบ่งบริการคลาวด์ทั่วโลกไปแล้วราว 60% (ตามข้อมูลจาก Omdia) แต่ที่พีคคือ ในบรรดาสามเจ้านั้น AWS เจ้าเดียวก็ครองไปแล้วประมาณ 37% (ตามข้อมูลจาก Gartner) และมีฐานลูกค้าถึง 4 ล้านรายเลยทีเดียว

ดังนั้น พอแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่าง AWS ล่มปุ๊บ มันเลยส่งผลกระทบเป็นโดมิโน่ (Cascading effect) แบบนี้แหละครับ

มีผู้เชี่ยวชาญประเมินแล้วนะครับว่า ความเสียหายจากเหตุการณ์นี้อาจสูงถึงหลายพันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

"มันสร้างสิ่งที่เรียกว่า 'จุดตายจุดเดียว' (Single point of failure) ขนาดมหึมา ที่พอเจ๊งทีเดียว ก็กระทบไปหมด ทั้งการดำเนินงานในคลังสินค้า การขนส่ง หรือกระทั่งการที่คนจะซื้อจะขายของบนเว็บไซต์" Jacob Bourne นักวิเคราะห์จาก eMarketer บอกกับ CNN

ความติดขัดที่เจอได้ทุกย่างก้าวของวัน

คุณ Debi Dougherty กับสามี เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนครับ พวกเขาเจอปัญหานี้ตลอดการไปทำธุระในเช้าวันจันทร์ที่อินดีแอนา เริ่มตั้งแต่กล้อง Ring ที่บ้านแจ้งเตือนว่ามีรถมาจอด แต่เปิดดูภาพไม่ได้ (ก็นึกว่า Ring ล่มเอง)

พอไปถึงโรงพยาบาลเพื่อทำนัดหมายฉายรังสีให้สามี ระบบซอฟต์แวร์นัดหมายก็ติดๆ ดับๆ จากที่ปกติใช้เวลาไม่กี่นาที กลายเป็นต้องใช้เวลาถึง 40 นาทีเพื่อจองคิว 25 วันถัดไป จากนั้นไปแวะห้าง Kohl's ต่อ ก็ต้องรอคิวยาวเหยียด เพราะเครื่องรูดบัตรเครดิตดันมาเจ๊งอีก

สุดท้ายไปแวะทานมื้อเที่ยงที่ร้าน Cattleman’s Roadhouse ผู้จัดการถึงกับต้องเสนอเลี้ยงอาหารมื้อนั้นฟรี เพราะร้านไม่สามารถรับบัตรเครดิตได้เลย ผู้จัดการถามว่า "พวกคุณคงไม่มีเงินสดพอจ่ายใช่ไหมล่ะ?" ทั้งคู่ก็ได้แต่มองหน้ากันแล้วตอบว่า "มี... แต่ไม่พอค่าอาหารมื้อนี้แน่ๆ"

คุณ Debi บอกว่าประสบการณ์เช้าวันจันทร์นั้น "น่ากลัว" ไม่น้อยเลย มันทำให้เห็นว่าสังคมเราพึ่งพาเทคโนโลยีมากแค่ไหน "(ธุรกิจ) พวกเขาเอาไข่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในตะกร้า (AWS) ใบเดียว ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดที่สุดที่จะทำแบบนั้น"

ธุรกิจปั่นป่วน

ทางฝั่งธุรกิจก็ย่ำแย่ไม่แพ้กันครับ คุณ Cameron Sharp ผู้จัดการทั่วไปของร้าน Cattleman’s (ที่ใช้ระบบคิดเงินหน้าร้าน (POS) ของ Toast ซึ่งก็รันอยู่บน AWS อีกที) บอกว่า ยังโชคดีที่มันเกิดวันจันทร์ ไม่ใช่วันศุกร์ เสาร์ หรืออาทิตย์ "ถ้ามันลากยาวหลายวัน หรือลากไปถึงสุดสัปดาห์ล่ะก็... (เคาะไม้) เราซวยแน่ๆ"

"เศรษฐกิจของเราทั้งหมดมันอยู่บนอีคอมเมิร์ซไปแล้ว" เขากล่าว "เพราะเราผูกติดกันไปหมด การที่ AWS ล่มครั้งนี้จะสร้างความปั่นป่วนให้คนอีกมหาศาล"

ข้ามไปที่ฮูสตัน คุณ Dia Giordano เจ้าของ 3 ธุรกิจ (ร้านอาหารอิตาเลียน, คลินิกสุขภาพจิต 8 แห่ง และธุรกิจให้เช่าอสังหาฯ) ก็กำลังหัวหมุนแก้ปัญหาที่เกิดจากเหตุการณ์นี้เหมือนกัน ระบบ DoorDash "โทรศัพท์มาถล่มทลาย" ตั้งแต่ตี 2 เพื่อแจ้งว่าระบบสั่งอาหารออนไลน์ (ที่รันผ่าน Toast) มันล่ม

"นั่นหมายความว่า 1 ใน 3 ของธุรกิจร้านอาหารของฉัน หายไปเลยทั้งวัน" เธอบอก CNN "อย่างน้อยพอข่าวออก คนก็น่าจะเข้าใจ แต่ฉันก็ยังได้รับข้อความถามว่าร้านเปิดไหม เพราะหน้าเว็บมันหายไปเลย มันไม่โหลดอะไรขึ้นมาเลย"

(Toast ผู้ให้บริการระบบ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นครับ)

ส่วนที่คลินิกสุขภาพจิต พนักงานก็ไม่สามารถตรวจสอบสิทธิ์ประกันของคนไข้ได้ เพราะระบบกลางมันล่ม ซ้ำร้าย Venmo (แอปโอนเงิน) ก็ล่มไปด้วย ทำให้เธอไม่สามารถรับค่าเช่าอสังหาฯ ที่ปกติจะได้รับในวันนั้นได้

"ตอนนี้ก็คือต้องแก้ปัญหากันไปทีละเปลาะ รอดูสถานการณ์นาทีต่อนาที" เธอกล่าว แต่เมื่อพูดถึงการพึ่งพาเทคโนโลยี เธอก็ย้ำคำเดิมว่า "มันน่ากลัวจริงๆ ค่ะ"

#DRKRIT drkrit.com #กระแสไอที #ข่าวไอที #ไทยสมาร์ทซิตี้