หุ่นยนต์ส่งอาหารมีชื่อเหมือนคน มีตากะพริบได้ แต่...มันไม่ใช่เพื่อนเรา
เจ้าหุ่นตัวนี้ชื่อ 'คอร์ทนีย์' (Courtney) ครับ
คอร์ทนีย์ไม่มีดวงตาจริงๆ หรอกครับ แต่มันมีเซ็นเซอร์อยู่รอบตัว บนตัวถังทรงกล่องของมันมีไฟกะพริบสองดวงด้านหน้า ทำเหมือนเป็นดวงตากลมโต มีคนเคยบอกว่ามันดูเหมือน "กล่องเก็บความเย็นติดล้อขนาดใหญ่"
คอร์ทนีย์เป็นหุ่นยนต์ส่งอาหารจากบริษัท Serve Robotics รับหน้าที่ขนส่งออเดอร์จาก Uber Eats ในระยะทางสั้นๆ ไม่เกิน 1.6 กิโลเมตร อยู่มาวันหนึ่งในช่วงปลายเดือนมิถุนายน คอร์ทนีย์ก็ปรากฏตัวขึ้นในย่านที่ผมอยูในแอตแลนตา พร้อมกับเพื่อนๆ หุ่นยนต์สี่ล้ออีกหลายสิบตัวที่มีชื่ออย่าง ดีอันเดร (Deandre) และโอไรออน (Orion)
แต่ดูเหมือนว่าคอร์ทนีย์กับผองเพื่อนจะมีปัญหากับการเดินทางในแอตแลนตาอยู่บ้าง พวกมันจะดูงงๆ เวลาเจอทางม้าลาย เคลื่อนไหวด้วยความเร็วและความระมัดระวังเหมือนคนเพิ่งหัดขับรถ ดูเก้ๆ กังๆ ขี้อาย แต่แล้วจู่ๆ ก็เร่งความเร็วขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ล้อทั้งสี่ของมันดูเหมือนถูกสร้างมาเพื่อลุยทางวิบาก แต่ก็ยังไปติดแหง็กอยู่ตามร่องทางเท้าที่ขรุขระอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่ที่ผมเห็นเจ้าหุ่นพวกนี้ มักจะจอดนิ่งไม่ขยับไปไหน
ตอนที่พวกมันมาถึงใหม่ๆ ใครๆ ก็ตื่นเต้นครับ ผู้คนพากันถ่ายรูป ทำคลิปลง TikTok เวลาเจอมันบนถนนเป็นครั้งแรก ประมาณว่า "อนาคตมาถึงแล้ว!"
แต่สามเดือนให้หลัง ความแปลกใหม่ก็จางหายไป มันไม่ใช่ของน่าถ่ายรูปอีกต่อไปแล้ว นักปั่นจักรยานก็ต้องคอยหลบพวกมันเหมือนเป็นสิ่งกีดขวางอื่นๆ บนถนน ลูกค้าของร้าน Shake Shack (ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ระดับประเทศของ Serve) ก็ต้องเดินหลบฝูงหุ่นยนต์ที่จอดเกะกะอยู่หน้าร้านเพื่อเข้าไปสั่งอาหารผ่าน iPad กลายเป็นว่าพวกมันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในย่านนี้ไปแล้ว เหมือนกับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่จอดเกลื่อนทางเท้าจนน่ารำคาญนั่นแหละครับ
"ผมว่าคนมักจะถามอยู่เรื่อยว่า 'เมื่อไหร่หุ่นยนต์จะมาถึงจริงๆ สักที?' ตอนนี้พวกมันมาถึงแล้วจริงๆ ครับ" อาลี คาชานี (Ali Kashani) ซีอีโอของ Serve Robotics บอกกับผม "ถ้าคุณโชคดีพอที่จะอยู่ในเมืองเหล่านี้ คุณก็ได้เห็นมันแล้ววันนี้ แต่ถ้าไม่ อีกไม่กี่ปีก็คงได้เห็นกันทั่วไปในชีวิตประจำวัน"
รุ่งอรุณของยุคหุ่นยนต์ "เพื่อนยาก" ในชีวิตประจำวันอาจจะมาถึงแล้ว แต่พวกมันก็ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองเลยว่ามีประโยชน์ หรือน่าไว้วางใจแค่ไหน
"คนคิดว่ามันเป็นเพื่อน แต่จริงๆ แล้วมันคือกล้องและไมโครโฟนของบริษัทดีๆ นี่เอง" โจแอนนา ไบรสัน (Joanna Bryson) นักวิชาการด้าน AI และศาสตราจารย์ด้านจริยธรรมและเทคโนโลยีที่ Hertie School ในเบอร์ลินกล่าว "คุณคิดถูกแล้วที่รู้สึกไม่สบายใจ"
ความกังขาเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
เอ็ดเวิร์ด อองเวโซ จูเนียร์ (Edward Ongweso Jr.) เป็นนักวิจัย นักข่าวสายเทคโนโลยี และประกาศตัวว่าเป็น "decel" (ย่อมาจาก decelerationist หรือคนที่เชื่อว่ายักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley ควรจะชะลอตัวลงบ้าง) เขาบอกผมว่าการตั้งข้อสงสัยต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นเรื่องที่ดี โล่งอกไปทีครับ
เขาบอกว่าเวลาที่หุ่นยนต์ปรากฏตัวขึ้นในเมืองไหน มักจะไม่ได้เป็นเพราะคนในเมืองนั้นต้องการมัน หรือมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลย "พวกมันถูกนำมาใช้โดยไม่ได้ถามความเห็นจากผู้คนเลย ผลก็คือมันสร้างความรำคาญและไม่สะดวก" อองเวโซ จูเนียร์ กล่าว "ผมว่าคนจะรู้สึกต่างออกไปมากถ้าพวกเขามีสิทธิ์เลือก... ว่า 'เราอยากได้หุ่นยนต์แบบไหนมาใช้ในบ้าน ที่ทำงาน ในมหาวิทยาลัย หรือในชุมชนของเรา?'"
หุ่นยนต์ส่งของไม่ได้มีแค่ในแอตแลนตา บริษัทที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่าง Avride และ Coco Robotics ก็ได้ส่งกองทัพหุ่นยนต์ไปตามเมืองใหญ่ๆ อย่างชิคาโก ดัลลัส และเจอร์ซีย์ซิตี้ รวมถึงเมืองมหาวิทยาลัยที่เงียบสงบด้วย ตอนนี้ Uber และ Lyft ก็มีบริการรถยนต์ไร้คนขับแล้ว อย่างในเมืองของผม Waymo แบบไร้คนขับก็ฮิตซะจนคนยอมกดยกเลิกเรียกรถไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้รถแบบไร้คนขับเลยทีเดียว
"พวกมันโผล่ขึ้นมาทุกที่" อองเวโซ จูเนียร์ กล่าวต่อ "เพราะมีความพยายามที่จะทำให้คนมองว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และวิธีที่จะทำแบบนั้นได้ก็คือการผลักดันมันเข้าไปในทุกที่ให้ได้มากที่สุด จัดโชว์อลังการ ได้รับการเสนอข่าวแบบเป็นมิตร และพยายามหาวิธีขายมันในฐานะทางเลือกเดียวที่มีอยู่"
ทำไมต้องน่ารัก?
ตั้งแต่มาถึงแอตแลนตา หุ่นยนต์พวกนี้ก็ได้รับการเสนอข่าวแบบไม่ตั้งคำถามมากมาย แถมยังได้ออก Netflix ในรายการของ John Mulaney ด้วยนะ (คาชานี ซีอีโอของ Serve ยืนยันกับผมว่าหุ่นที่ถูกทำลายตอนกระโดดโชว์ผาดโผนน่ะเป็นของปลอม ตัวจริงไม่เป็นอะไร) พวกมันถึงกับถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวทางสังคมด้วยซ้ำ: ในปี 2023 Serve ได้เปิดตัวหุ่นยนต์ทาสีรุ้งชื่อ มาร์ชา (Marsha) ตามชื่อของ มาร์ชา พี. จอห์นสัน นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนข้ามเพศ
ผมถามคาชานีว่า ที่หุ่นยนต์ต้องมีชื่อน่ารักๆ และตาไฟ LED ปลอมๆ ก็เพื่อทำให้คนเอ็นดูและหวังว่าจะไม่ไปเตะมันใช่ไหม? เขาบอกว่าถ้าชื่อตลกๆ อย่าง คลิฟฟอร์ด (Clifford) และการเพ้นท์สีโดยศิลปินท้องถิ่นจะช่วยปกป้องหุ่นยนต์จากการถูกทำร้ายได้ นั่นก็ถือเป็นผลพลอยได้ แต่มันไม่ใช่ประเด็นหลัก "เราอยากให้หุ่นยนต์ดูเป็นมิตร สนุก และเป็นที่ยอมรับของชุมชนที่มันเข้าไปอยู่" เขากล่าว "และอีกอย่าง ทำไมเราจะไม่สนุกกับมันล่ะครับ? เรากำลังสร้างหุ่นยนต์นะ นี่เป็นความฝันของมนุษยชาติมาสี่ห้าสิบปีแล้ว มันน่าเสียดายถ้าจะไม่ได้สนุกไปกับมัน"
แต่อองเวโซ จูเนียร์ บอกว่า สิ่งแรกและสำคัญที่สุดคือ "เจ้าหุ่นพวกนี้เป็นสินค้า ไม่ใช่เพื่อน" ความสำเร็จของคอร์ทนีย์และดีอันเดรก็คือนักลงทุนได้เงิน "ถ้าคุณทำให้มันดูเหมือนมนุษย์ คุณก็จะยอมรับมันง่ายขึ้น... 'อ๋อ นั่นไง เจฟฟรีย์' หรือจะชื่ออะไรก็ตามแต่ แทนที่จะมองว่ามันคืออะไรจริงๆ ซึ่งก็คือกลุ่มนักลงทุนที่กำลังรุกล้ำเข้ามาในชุมชนหรือที่ทำงานแบบเงียบๆ" เขากล่าว "นี่ไม่ใช่อนาคตครับ แต่มันคือโมเดลธุรกิจ"
ผมพยายามสั่งอาหารจากหุ่นยนต์... 12 ครั้ง
เพื่อให้โอกาสเจ้าหุ่นพวกนี้ ผมเลยลองใช้บริการมันดู
ผมสั่งอาหารเดลิเวอรี่จาก Uber Eats ถึง 12 ครั้งใน 2 เดือน แต่ละครั้งก็สั่งจากร้านที่เดินไปได้สบายๆ แต่ก็ไม่ได้เดินไป เพราะหวังว่าคอร์ทนีย์ ดีอันเดร หรือเพื่อนร่วมรุ่นของมันจะมารับอาหารให้ผมแทน แต่พวกมันไม่เคยมาเลยสักครั้ง มีแต่นักปั่นจักรยานที่เป็นมนุษย์ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมากมาส่งแทน โดยปกติใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที ผมอยู่ห่างจากศูนย์ที่หุ่นยนต์สี่ล้อพวกนี้จอดอยู่แค่ประมาณ 500 เมตร แต่ก็ยังไม่เคยได้ใช้บริการจากหุ่นยนต์ส่งของเลย มันยากที่จะรู้ว่าการส่งของด้วยหุ่นยนต์มันประสบความสำเร็จแค่ไหน ในเมื่อเราแทบไม่เคยเห็นมันเคลื่อนไหวเลย
Serve เปิดตัวหุ่นยนต์ในแอตแลนตาโดยพยายามจะลดปัญหาการจราจรในเมืองที่คนส่วนใหญ่ใช้รถยนต์ คาชานีบอกผมว่าระยะทางเฉลี่ยในการส่งของในเมืองอยู่ที่ต่ำกว่าหนึ่งไมล์ (1.6 กม.) และใช้เวลาประมาณ 18 นาที พวกมันควรจะทนความร้อนจัดและหิมะได้ แต่คนในเมืองอื่นก็เคยต้องไปช่วยชีวิตพวกมันตอนที่สลบไปเพราะสภาพอากาศมาแล้ว
"พวกมันจะทำให้เมืองปลอดภัยขึ้น ลดการปล่อยมลพิษ ช่วยให้ร้านค้าส่งของได้เข้าถึงคนมากขึ้น" คาชานีกล่าว และการส่งของด้วยหุ่นยนต์น่าจะถูกกว่าสำหรับผู้บริโภคด้วยเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งคือ "คุณไม่ต้องทิปหุ่นยนต์"
แต่ Serve กลับเปิดตัวฝูงหุ่นยนต์แรกในย่านที่เดินสะดวกที่สุดของแอตแลนตา ที่ซึ่งมีร้านอาหารมากมายในระยะที่เดินถึงสำหรับผู้อยู่อาศัยราว 50,000 คน ย่านเหล่านี้ยังเป็นย่านที่ร่ำรวยที่สุดในแอตแลนตาด้วย คำถามคือ เราต้องการหุ่นยนต์ที่นี่จริงๆ หรือ?
ผมคิดมากไปเองหรือเปล่า?
หลังจากบ่นเรื่องหุ่นยนต์ให้เพื่อน เพื่อนร่วมงาน และแหล่งข่าวฟังอยู่หลายสัปดาห์ ผมก็เริ่มสงสัยว่าความเกลียดชังของผมมันผิดที่ผิดทางหรือเปล่า บางทีผมควรจะไปโกรธ AI รูปแบบอื่นที่ชั่วร้ายกว่าอย่าง ChatGPT หรือบริษัทอย่าง Uber ที่ไม่ต้องจ่ายเงินพนักงานมากเท่าเดิมถ้ามีหุ่นยนต์ทำงานแทนฟรีๆ
ดีแลน โลซีย์ (Dylan Losey) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมเครื่องกลที่ Virginia Tech ซึ่งศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ บอกว่าหุ่นยนต์ส่งของโดยตัวมันเองแล้วไม่ได้มีอะไรผิด "ถ้าเราสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่ทำงานน่าเบื่อ ซ้ำซากแทนมนุษย์ได้ เช่น การส่งอาหาร ผมว่าเราก็มาถูกทางแล้ว" เขาเขียนในอีเมล "อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังกังขาเกี่ยวกับวิธีที่หุ่นยนต์เหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน"
สิ่งที่ทำให้เขากังวลคือ อัลกอริธึม AI ที่ควบคุมหุ่นยนต์พวกนี้ "ไม่ได้รับการควบคุมใดๆ เลย" โลซีย์กล่าว "คนที่ต้องเจอกับหุ่นยนต์ส่งของก็ตกอยู่ในสถานะที่ต้องเชื่อใจว่าหุ่นยนต์เหล่านี้ถูกสร้างและโปรแกรมมาโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเราเป็นที่ตั้ง"
ส่งครั้งสุดท้าย
ผมพยายามครั้งสุดท้ายที่จะเรียกใช้บริการหุ่นยนต์ส่งของช่วงปลายเดือนกันยายน ตอนที่ผมเจอพวกมัน 10 ตัวจอดอยู่หน้าร้าน Shake Shack และคราวนี้ไม่ได้ขวางทางเข้าแล้ว ผมเห็นดัลลัส (Dallas) กับไคลด์ (Clyde) เปิดธง "กำลังจัดส่ง" อยู่ด้วย ผมคิดว่าถ้าสั่งจาก Shake Shack ตรงนี้เลย มันต้องได้แน่ๆ
ผมก็นั่งอยู่ห่างจากกองทัพหุ่นยนต์จิ๋วแค่ไม่ถึง 2 เมตร เป็นเวลา 20 นาที แต่ไม่มีตัวไหนขยับเลย ไม่ว่าจะเพื่อผมหรือเพื่อใคร ผมลองปรับตำแหน่งจัดส่งมายังจุดที่ผมนั่งอยู่เป๊ะๆ ลองไม่ให้ทิปเลยด้วยซ้ำ (ซึ่งควรจะเพิ่มโอกาสได้หุ่นยนต์มาส่ง) แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งทำให้หาคนที่เป็นมนุษย์มารับออเดอร์ยากขึ้นไปอีก (ซึ่งเป็นออเดอร์ที่ผมเสียใจทันทีที่กดสั่ง)
ผมยอมรับว่าเจ้าหุ่นพวกนี้น่ารำคาญมากกว่าที่จะเป็นอันตรายโดยตรง แม้ว่าเมื่อเดือนที่แล้วมันจะสร้างเรื่องที่อื่นก็ตาม: ในลอสแอนเจลิส หนึ่งในเมืองแรกๆ ที่ Serve นำหุ่นยนต์ไปใช้ มีชายผู้พิการทางสมองถ่ายคลิปวิดีโอหุ่นยนต์ที่เบี่ยงมาขวางทางและกีดขวางทางเท้าของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสุดท้ายก็ชนเข้ากับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าของเขา
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความกลัวของผมต่อหุ่นยนต์ที่ดูไม่มีพิษมีภัยพวกนี้คืออะไร: เมื่อเทคโนโลยีนี้แพร่หลาย เราจะพึ่งพาหุ่นยนต์มากกว่าคนหรือไม่...แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ต้องเสียอาชีพไปเพราะวิถีปฏิบัติที่ไม่พึ่งพาสังคมของเรา? AI จะหยั่งรากลึกเข้าไปในวิธีคิด สร้างสรรค์ สื่อสาร และใช้ชีวิตของเรา จนเราไม่สามารถแยกตัวออกจากมันได้เลยหรือไม่? และถึงแม้ว่ามันจะมีศักยภาพในการนำไปใช้ในทางที่น่ากลัว ผมกลับกังวลมากกว่าว่ามันจะเปลี่ยน "พวกเรา" ให้กลายเป็นอะไร
ผมล้มเลิกความพยายามที่จะเอาใจหุ่นยนต์แล้ว (และแน่นอนว่าพวกมันก็ไม่ได้ใจผมไปเหมือนกัน) ตอนนี้ผมก็เห็นบางตัววิ่งฉิวไปตามทางเท้าข้างถนนที่รถติดๆ ซึ่งน่าจะกำลังไปส่งของจริงๆ แหละ และดูเหมือนพวกมันจะชนะใจคนได้จริงๆ นะครับ Serve มักจะแชร์วิดีโอที่คนกอดหุ่นยนต์หรือทักทายอย่างร่าเริงอยู่เป็นประจำ ครั้งสุดท้ายที่ผมเข้าไปใกล้ๆ หุ่นยนต์ตัวหนึ่ง มันก็เร่งเครื่องใส่ผมเสียงดัง... บางทีมันคงสัมผัสได้ถึงคนที่ไม่ชอบขี้หน้ามันก็ได้ครับ
#DRKRIT drkrit.com #กระแสไอที #ข่าวไอที #ไทยสมาร์ทซิตี้